วัดแม่แคมสุดทน ล่าสุดเข้าแจ้งความดำเนินคดีผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วย กรณีร้องเรียนสำนักพุทธฯ ด้วยข้อเป็นความเท็จ
ทั้งนี้ ถูกผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยป้ายสี ยื่นหนังสือถึงสำนักพุทธศาสนาจังหวัดแพร่ อ้างครองตนในฐานะพระสงฆ์ไม่เหมาะสมและถวายฎีกา สภาพปัญหาสร้างอ่างแม่แคมที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายถือว่าไม่เหมาะสม และให้ปลดจากเจ้าอาวาสวัดแม่แคม ซึ่งทางนายพิทักษ์ชัย รักสุข ผู้รับมอบอำนาจเป็นตัวแทนวัดแม่แคม เข้าแจ้งความดำเนินคดี ผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วย ที่ทำหนังสือร้องเรียนไปยังสำนักพุทธศาสนาจังหวัดแพร่ เพื่อถอดถอนเจ้าอาวาสวัดแม่แคมโดยมิชอบต่อกรณีที่เกี่ยวข้อง นายพิทักษ์ชัย รักสุข กล่าวว่า ทางวัดแม่แคมได้มอบหมายให้แจ้งความดำเนินคดี ผู้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังสำนักพุทธศาสนาจังหวัดแพร่ เพื่อถอดถอนเจ้าอาวาสวัดแม่แคมโดยมิชอบ ต่อกรณีที่เกี่ยวข้องต่อการสร้างอ่างเก็บน้ำแม่แคม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ด้วยข้อความหนังสือร้องเรียนกล่าวความเท็จ ข้อความที่ไม่เป็นจริงและมีวิธีการให้ชาวบ้านลงนามสนับสนุนในหนังสือโดยไม่บอกวัตถุประสงค์ว่า ลงนามไปเพื่อกิจการใด ต่อมาพบว่านำรายชื่อชาวบ้านไปประกอบหนังสือร้องเรียนปลดเจ้าอาวาส ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว ทำให้เจ้าอาวาสวัดแม่แคมได้รับความเสียหาย และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีผู้กระทำผิดดังกล่าวจนถึงที่สุด โดยได้แจ้งความดำเนินคดีต่อ พ.ต.ต.อมร ขว้างแป้น สารวัตรสอบสวน สภ.ช่อแฮ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายพิทักษ์ชัย กล่าวอีกว่า ทางวัดมาทราบข่าวจากสำนักพุทธศาสนาจังหวัดแพร่ รายงานให้ทราบ ซึ่งหลังจากนั้นชาวบ้านที่ลงนามก็เริ่มทราบเรื่อง มีหลายรายไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน ที่ สภ.ช่อแฮ ว่า ไม่มีเจตนาถอดถอนเจ้าอาวาสแต่อย่างใด กรณีที่ลงนามไปเนื่องจากวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 นางสุจิตรา ใจตั้ง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 ต.สวนเขื่อนฯ เป็นผู้นำเอกสารฉบับหนึ่งที่มีรายชื่อชาวบ้านลงนามมาระดับหนึ่งแล้วมาให้ลงนามต่อโดยไม่แจ้งเหตุผลในการลงนาม ในเรื่องนี้ ชาวบ้านเห็นเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจึงให้ความร่วมมือลงนามเพราะคิดว่าเป็นเรื่องพัฒนาในหมู่บ้าน แต่ต่อมาลายมือลงนามเหล่านี้ได้ถูกนำไปประกอบเอกสารการร้องเรียน พระครูสุนทร วรปัญโญ เจ้าอาวาสวัดแม่แคม ชาวบ้านหลายคนจึงเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินการตามกฎหมายอาญาต่อไปโดยมี พ.ต.ต.อมร ขว้างแป้น สารวัตรสอบสวน สภ.ช่อแฮ เป็นผู้รับแจ้ง
จากพฤติกรรมดังกล่าว ทำให้เห็นว่า ผู้นำชุมชนไม่ปฏิบัติตามมติของที่ประชุมศูนย์ดำรงธรรม แก้ปัญหาหน่วยงานชลประทานบุกรุกที่ดินวัดแม่แคม โดยประธานในที่ประชุมให้ผู้นำหมู่บ้าน ไปแจ้งให้กับชาวบ้านว่า วัดแม่แคมไม่เกี่ยวข้องกับกรณีการจ่ายค่าเวนคืนช้าและวัดไม่มีเจตนาขัดขวางการสร้างเขื่อน แต่วัดกำลังเรียกร้องให้เป็นไปตามกฎหมายการส่งมอบที่ดินจากธรณีสงฆ์ไปสู่ที่ดินเวนคืน คือ การทำผาติกรรมเสียก่อน ซึ่งกรมชลประทานยังไม่ดำเนินการแต่ทำการก่อสร้างทับที่ดินวัดและทิ้งเวลามานานถึง 2 ปีแล้ว กรณีที่ผู้นำชุมชนทำหนังสือถอดถอนเจ้าอาวาส โดยไม่มีข้อเท็จจริง และไม่ให้ความร่วมมือกับศูนย์ดำรงธรรมในการแก้ปัญหา และพยายามสร้างปัญหาใหม่ ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญาในการหมิ่นประมาท กระทำผิดวินัยของทางราชการ รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สร้างสถานการณ์ให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้นนางศรีวรรณา ท้าวพันวงค์ อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 77 หมู่ 7 ต.สวนเขื่อน อ.เมืองแพร่ เป็นผู้หนึ่งในหลายคนที่เข้าไปแจ้งความที่ สภ.ช่อแฮ หลังทราบข่าวว่า เอาลายเซ็นของตนเองไปเข้าชื่อขับไล่เจ้าอาวาส ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง จึงได้ขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายปัญหาเกิดจาก เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2564 ทางนายปัณณวิชญ์ ทองขาว ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 7 บ้านแม่แคม ได้ทำหนังสือถึง สำนักพุทธศาสนาจังหวัดแพร่ กล่าวหา พระครูสุนทร วรปัญโญ เจ้าอาวาสวัดแม่แคม มีวัตรปฏิบัติต่อการครองตนไม่เหมาะสมในฐานะเป็นพระสงฆ์ อาจทำให้โครงการสร้างอ่างเก็บน้ำแม่แคมต้องกระทบกับการก่อสร้างหรือล่าช้าออกไป เนื่องจากเจ้าอาวาสได้ถวายฏีกาต่อสำนักพระราชวัง เป็นการไม่เหมาะสมสร้างความระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทและอาจทำให้การสร้างเขื่อนต้องชะลอออกไป นอกจากนั้นยังร้องเรียนว่า เจ้าอาวาสนำเงินรายได้ของวัดไปใช้จ่าย เจ้าอาวาสตัดต้นไม้ในวัดเพื่อปรับภูมิทัศน์วัด โดยไม่แจ้งกรรมการวัด ไม่เก็บเงินทำบุญทอดผ้าป่า กฐินให้เป็นไปตามระเบียบของวัด ข้อร้องเรียนดังกล่าวที่ทำให้ทางวัดแม่แคมต้องไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่เป็นผู้ดำเนินการด้วยความเท็จและหมิ่นประมาท เจ้าอาวาสดังกล่าว
ธีรพงษ์ ธงออน/แพร่